





เสริมจมูก Closed เชื่อได้ว่าเป็นเทคนิคที่ทุก ๆ คนต้องรู้จักเพราะเรียกได้ว่าการเสริมจมูกด้วยเทคนิคนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ซึ่งต้องกล่าวก่อนว่าศัลยกรรมเสริมจมูกนั้นสามารถแบ่งออกได้หลายเทคนิควิธี ซึ่งผลลัพธ์การผ่าตัดก็สามารถของแต่ละเทคนิคก็สามารถแก้ไขปัญหาและปรับให้ทรงจมูกของแต่ละคนดูสวย รับกับใบหน้าและดูมีมิติมากขึ้นด้วย อย่างไรก็ตาม การเสริมจมูกแบ่งออกได้เป็น 2 เทคนิคหลัก ๆ นั่นคือ การเสริมจมูกแบบเปิด (การผ่าตัดเปิดแผลด้านนอกเพื่อปรับโครงสร้างจมูก) และ การเสริมจมูกแบบปิด ซึ่งเราจะมาทำความรู้จักให้ลงลึกไปพร้อม ๆ กันว่ามีข้อควรรู้อะไรอีกบ้างที่ผู้สนใจต้องทราบก่อนเข้ารับการเสริมจมูกด้วยเทคนิคนี้
เสริมจมูก Closed คืออะไร
การเสริมจมูกแบบ Close (Closed rhinoplasty, Endonasal rhinoplasty) หรือที่รู้จักกันว่า การเสริมจมูกแบบปิด เป็นการเสริมจมูกที่ทำการผ่าตัดเปิดแผลเล็ก ๆ ภายในรูจมูกเพียงแค่หนึ่งหรือสองข้าง เพื่อทำการเสริมจมูกด้วยการสอดซิลิโคนแท่งที่ถูกเหลาเป็นทรงเข้าไปด้านในบริเวณสันจมูกจนถึงปลายจมูกของผู้เข้ารับบริการ ซึ่งซิลิโคนที่นำมาใช้ก็จะมีหลายแบบด้วยกัน เช่น แบบสำเร็จรูป หรือ แบบที่แพทย์นำมาเหลาเอง ซึ่งการเลือกใช้ซิลิโคนจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของแพทย์ด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อให้ซิลิโคนเหมาะกับใบหน้าของผู้เข้ารับบริการมกาที่สุดรวมถึงแก้ไขปัญหาจมูกของแต่ละเคสได้ดีที่สุด
เสริมจมูก Closed หรือ การเสริมจมูกแบบปิดเหมาะกับใคร ?
จากที่ได้บอกไปว่าการเสริมจมูกนั้นมีหลายเทคนิค ซึ่งแต่ละเทคนิคนั้นก็จะตอบโจทย์ให้กับผู้ประสบปัญหาจมูกที่แตกต่างต่างกัน โดยสำหรับการเสริมจมูกแบบปิดนั้นเหมาะกับผู้ที่เงื่อนไขต่าง ๆ ดังนี้
- เหมาะกับคนที่ต้องการเพิ่มความสูงให้กับจมูกเล็กน้อย และไม่มีปัญหาอื่น ๆ
- เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการให้เห็นแผลผ่าตัดจากภายนอก และไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้นนาน
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่สนใจเข้ารับบริการเสริมจมูกแบบปิด ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์ชำนาญการจะดีที่สุด เพราะนอกจากเรื่องผลลัพธ์ของการผ่าตัดแล้ว ก็ยังมีเรื่องของความปลอดภัยและมาตรฐานการผ่าตัดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ต้องให้ความสำคัญด้วยเพื่อป้องกันผลข้างเคียงหลังการผ่าตัดที่อาจเกิดขึ้น
เสริมจมูกแบบปิด กับ เสริมจมูกแบบเปิด ต่างกันอย่างไร ?
ใครที่กำลังอยากจะทำจมูกอาจเคยได้ยินชื่อเทคนิค เสริมจมูก Closed และ เสริมจมูก Open และแน่นอนว่าหลาย ๆ คนต้องสงสัยเกี่ยวกับประเด็นความแตกต่างของการเสริมจมูกของทั้ง 2 เทคนิคนี้ ซึ่งหากดูจากชื่อแล้วก็จะเห็นความแตกต่างที่ชัดเจนตั้งแต่แรก การเสริมจมูกทั้ง 2 เทคนิคนี้จะต่างกันที่…
จุดประสงค์ของการใช้เทคนิค
- เทคนิคปิด: ผู้เข้ารับบริการมีต้นทุนทรงจมูกดีอยู่แล้ว ต้องการแค่ความโด่งและแก้ปัญหาจมูกแบนเท่านั้น
- เทคนิคเปิด: แก้ปัญหาทรงจมูกได้หลากหลาย เช่น จมูกเอียง, จมูกคด, ลดฮัมพ์ เป็นต้น
บริเวณของการเปิดแผล
- เทคนิคปิด: ผ่าตัดจากด้านในรูจมูก ไม่ต้องเปิดแผลด้านนอก ดังนั้น จึงจะไม่มีรอยแผลที่มองเห็นจากด้านนอกเพราะเป็นการผ่าตัดภายในจมูก
- เทคนิคเปิด: เปิดเเผลบริเวณใต้จมูก ตรงพื้นที่ระหว่างรูจมูกทั้งสองข้าง ดังนั้น ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะมีแผลข้างนอก แต่จะมีขนาดเล็กมาก และตำแหน่งของแผลจะซ่อนอยู่ในบริเวณที่มองไม่เห็น
ความโด่งของปลายจมูก
- เทคนิคปิด:ไม่สามารถปรับให้จมูกมีปลายที่โด่งมากได้ เนื่องจากเป็นการเสริมจมูกที่ใช้ซิลิโคนในการเสริมปลายให้ยาวขึ้น หากปรับให้ยาวเกินไปอาจเสี่ยงเกิดการทะลุได้
- เทคนิคเปิด: ปรับความโด่งของจมูกได้มากกว่าเทคนิคปิด ยืดจมูกให้ยาวขึ้น ลดความเสี่ยงปลายทะลุได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ระยะเวลาผ่าตัด
- เทคนิคปิด: เป็นการผ่าตัดเล็ก จะใช้เวลาระยะสั้นประมาณ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น
- เทคนิคเปิด: เป็นผ่าตัดใหญ่ที่ค่อนข้างซับซ้อน ดังนั้นจะใช้เวลาประมาณ 3-5 ชั่วโมงในการผ่าตัด
อย่างไรก็ตาม นี่เป็นข้อแตกต่างที่สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนของเทคนิคการเสริมจมูกทั้ง 2 แบบเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีข้อย่อย ๆ อีกหลายข้อด้วยกัน แต่สิ่งสำคัญสำหรับผู้สนใจเสริมจมูก ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคใดก็ควรเข้ารับคำปรึกษาจากแพทย์เพื่อหาวิธีการผ่าตัดที่เหมาะกับตนเองที่สุด
ข้อดี – ข้อเสียเสริมจมูกแบบปิด

สำหรับข้อดีและข้อเสียของการเสริมจมูกแบบปิดนั้นมีข้อควรพิจารณาประกอบกัน ดังนี้…
ข้อดีการเสริมจมูกแบบปิด
- เหมาะกับผู้ยังไม่เคยเข้ารับการผ่าตัดมาก่อน
- ไม่เห็นรอยแผลผ่าตัดเพราะทำการเปิดแผลด้านใน
- ไม่ต้องดมยาสลบเพราะเป็นการผ่าตัดเล็ก
- หลังผ่าตัดสามารถเห็นทรงจมูกได้ทันที
- ราคาไม่แพงมาก สามารถจับต้องได้
ข้อเสียการเสริมจมูกแบบปิด
- ไม่สามารถทำให้โด่งหรือปลายเชิดได้มาก เพราะเสี่ยงปลายทะลุ
- ไม่ได้เป็นการแก้ไขปัญหาโครงสร้างภายในจมูกอย่างถาวร
- มีโอกาสเบี้ยว หรือเอียงได้เมือ่เวลาผ่านไป รวมถึงผลข้างเคียงอื่น ๆ จากซิลิโคนด้วยเช่นกัน
การเตรียมตัวก่อนเสริมจมูกแบบปิด
ในส่วนของการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการผ่าตัดนั้น มีข้อควรรู้หลาย ๆ อย่างที่ผู้เข้ารับบริการควรทราบ เพื่อนำไปปฏิบัติการเข้ารับการผ่าตัดจริง ได้แก่..
- งดการสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ก่อนผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- งดการรับประทานยาสลายลิ่มเลือดบางชนิด รวมถึงควรแจ้งแพทย์หากจำเป็นจะต้องรับประทานยาโรคประจำตัว
- งดการใช้อาหารเสริมก่อนทำการผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดองและอาหารทะเล
- งดการแต่งหน้าและทำเล็บก่อนเข้ารับบริการ
สำหรับทั้ง 5 ข้อนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อปฏิบัติก่อนเข้ารับการผ่าตัด ซึ่งอาจมีรายละเอียดอื่น ๆ อีก ดังนั้น หากมีข้อสงสัยให้สอบถามและปรึกษาแพทย์จะดีที่สุดเพราะจะมีความละเอียดมากขึ้น
ขั้นตอนการเสริมจมูกแบบปิด
ก่อนเข้ารับการผ่าตัด แพทย์จะทำการซักประวัติของผู้เข้ารับบริการ โดยเฉพาะโรคประจำตัวหรือการแพ้ยา จากนั้นจะเริ่มทำการประเมินโครงหน้าและจัดทำแผนการผ่าตัด จากนั้นจะเริ่มอธิบายแผนการผ่าตัดเสริมจมูกให้ผู้เข้ารับบริการได้รับฟังเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น จากนั้นจะเข้าสู่ขั้นตอนการผ่าตัด
- แพทย์จะทำความสะอาดบริเวณโพรงจมูก รอบจมูก ๆ และบริเวณที่จะทำการผ่าตัดให้เรียบร้อย
- ฉีดยาชาเพื่อบรรเทาอาการเจ็บ แพทย์จะทำการรอให้ยาชาออกฤทธิ์แล้วจึงทำการผ่าตัด
- แพทย์ทำการผ่าตัดเปิดแผลเล็ก ๆ ภายในรูจมูกเพียงแค่หนึ่งหรือสองข้าง เพื่อทำการเสริมจมูกด้วยการสอดซิลิโคนแท่งที่ถูกเหลาเป็นทรงเข้าไปด้านในบริเวณสันจมูกจนถึงปลายจมูกของผู้เข้ารับบริการ ซึ่งในการผ่าตัดแพทย์แต่ละท่านจะมีเทคนิคของแต่ละคนดังนั้น การผ่าเปิดแผลหรือขั้นตอนต่าง ๆ อาจมีความแตกต่างกันออกไป
- เย็บปิดแผลผ่าตัดด้านในโพรงจมูก จากนั้นติดพลาสเตอร์หรือทำเฝือกอ่อนเพื่อยึดทรงของจมูก
หลังจากเข้ารับการผ่าตัด ผู้เข้ารับบริการเสริมจมูกแบบปิดต้องทำการพักฟื้นเพื่อให้แผลผ่าตัดได้ทำการสมานกันได้ดีขึ้น ซึ่งนอกจากฝีมือแพทย์แล้ว การดูแลตนเองของคนไข้เองก็มีส่วนที่ทำให้แผลนั้นหายได้เช่นกัน ซึ่งจะเร็วหรือช้าก็ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเองของคนไข้นี้ด้วยเช่นกัน
การดูแลหลังเสริมจมูกแบบปิด
หลังจากเข้ารับการผ่าตัดแล้ว สิ่งที่สำคัญมาก ๆ คือการดูแลตนเองของคนไข้ในช่วงพักฟื้น ซึ่งควรปฏิบัติตามคำแนะนำและข้อดูแลเบื้องต้นอย่างเคร่งครัด ดังนี้…
- ประคบเย็นในช่วง 1 – 2 วันแรก เพื่อลดอาการบวม ช่วยให้เลือดหยุดไหล และสามารถ สามารถประคบอุ่นเพื่อลดรอยช้ำได้ในช่วง 4-5 วันหลังผ่าตัด เมื่อแผลเริ่มสนิท
- หลีกเลี่ยงอาหารที่ทำให้หน้าบวมแดง เช่น อาหารที่ร้อนจัด เผ็ด เค็ม รวมถึงแอลกอฮอล์ เป็นต้น
- งดสูบบุหรี่ก่อนในช่วงแรก
- นอนให้ศีรษะสูงเข้าไว้เพื่อให้จมูกหลังการผ่าตัดยุบเร็วขึ้น
- งดนอนคว่ำหรือตะแคงเพราะอาจส่งผลต่อจมูกที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดได้
- เลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ เช่น การสวมแว่นบริเวณสันจมูก การสั่งน้ำมูกแรง ๆ รวมถึงควรเลี่ยงที่ที่มีฝุ่นเยอะเพื่อป้องกันการจามด้วย
อย่างไรก็ตาม นอกจากที่ได้บอกไปว่าการดูแลตนเองหลังผ่าตัดนั้นสำคัญมาก ๆ ซึ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือการเลือกคลินิกหรือแพทย์ผู้ชำนาญการที่เจ้าเข้ามาดูแลเคส เพราะถ้าหากเลือกผิด คลินิกไม่ได้มาตรฐานหรือแพทย์ไม่มีประสบการณ์ ก็จะทำให้เกิดผลเสียกับจมูกของเราในอนาคตได้ ดังนั้น ควรพิจารณาเลือกคลินิคอย่างรอบคอบเพื่อป้องกันเหตุดังกล่าวไม่ให้เกิดขึ้น
ข้อควรระวังหลังผ่าตัดเสริมจมูกแบบปิด
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแผลจะเข้าที่และสามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติแล้ว แต่ผู้เข้ารับบริการยังคงต้องพึงระวังหลาย ๆ อย่างเพื่อเตรียมรับมือและดูแลตนเองได้ถูกต้องมากขึ้น เช่น…
- อาการตึงแผลหรือปวดบริเวณที่ผ่าตัด
- เลือดออกในจมูก บางรายอาจมีเลือดกำเดาออกเล็กน้อยหลังการผ่าตัดช่วงแรก ๆ แต่หากมีเลือดออกในปริมาณมาก ควรเข้าพบแพทย์ทันที
- ใต้ตาอาจมีอาการเขียวช้ำ
- หายใจลำบากขึ้น เนื่องจากลักษณะของรูจมูกเปลี่ยนไป และจะต้องหายใจทางปากแทนในช่วงเวลาหนึ่ง
- อาจเกิดการติดเชื้อบริเวณแผลได้หากดูแลไม่ดีพอ
จากข้อควรระวังดังกล่าวทุก ๆ คนคงเห็นได้แล้วว่าตั้งแต่อาการผิดปกติเล็ก ๆ ไปจนถึงอาการร้ายแรงก็สร้างผลเสียให้กับผลการผ่าตัดทั้งสิ้น ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดด้วยเทคนิคใดก็ตาม ผู้มีความสนใจเสริมจมูกก็ควรเข้ารับการดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเพื่อความปลอดภัยของตนเอง
รีวิวเสริมจมูก CLOSE จาก NSC Clinic


